วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

อกกระชับเต่งตึง...ไม่หย่อนยาน


วันนี้เรามีเคล็บเรื่องหน้าอกมาฝากคุณผู้หญิงรักสวยรักงามกันอีกแล้วค่ะ นั่นคือ วิธีทำให้หน้าอกกระชับ "เต่งตึง "ไม่หย่อนยาน" เพราะ มีคุณผู้หญิงหลาย ๆ ที่พอเริ่มมีอายุมากก็มักจะมีการกังวลกันเรื่อง หน้าอกไม่กระชับ เต่งตึง เรารู้ว่ามีคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับ เรื่องนี้

แต่ปัญหานี้จะหมดเมื่อคุณได้มาเจอเราค่ะ เพราะว่าเรานำ วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนยาน มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ และด้วย วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนยาน นี้จะช่วยให้คุณมีหน้าอกที่กระชับ เต่งตึง ไม่หย่อนยาน อีกต่อไปอย่างแน่นอนเลยค่ะ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเราก็มาดู วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง กันเลยดีกว่าค่ะ

5 วิธีทำให้หน้าอกกระชับ เต่งตึง

1. ดูแลหน้าอกตั้งแต่วัยสาว ด้วยการเริ่มใส่เฟิร์สบราเมื่อเริ่มมีหน้าอก

2. สวมใส่บราเพื่อไม่ให้หน้าอกต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไปยกเว้นตอนนอนไม่ควรใส่

3. เลือกใส่บราให้เหมาะสมกับขนาดของทรวงอก เช่น คนหน้าอกใหญ่ควรเลือกบราที่มีแถบลำตัวกว้างสายบ่าหนาเพื่อกระจายการรับ น้ำหนักและกิจกรรม เช่น เมื่อออกกำลังกายควรเลือกใช้สปอร์ตบราเพื่อรองรับน้ำหนักของทรวงอกไม่ทำให้ เส้นยึดเต้านมทำงานหนักเกินไป

4. มั่นบริหารทรวงอกด้วยท่ากระชับทรวงอก

5. ใช้ครีมกระชับทรวงอกควบคู่ไปกับนวดกระชับทรวงอกทุกเช้า-เย็นอยู่เสมอ

Tip

การบริหารทรวงอกให้ได้ผลควรแขม่วท้องขณะทำท่าต่าง ๆ และหลังจากบริหารควรราดน้ำเย็นที่อกหรือใช้ครีมนวดกระชับทรวงอกเพื่อให้ทรวง อกกระชับและทำให้อกสวย

เนรมิตคิ้วให้สวยรับกับรูปหน้า


สาวๆ Lisa Guru ใครมีปัญหาเรื่องการแต่งคิ้ว จะแต่งยังไงดีให้เข้ากับใบหน้าของเรา วันนี้เรามีมาฝากกัน
หน้ารูปไข่
รูปหน้าที่เพอร์เฟ็กต์ รูปคิ้วที่เหมาะสมคือคิ้วที่เป็นกรอบของดวงตาพอดี โดยมีช่วงที่โก่งขึ้นเล็กน้อยและหักลงตรงส่วนปลาย
หน้ารูปเหลี่ยม
เมื่อรูปหน้ามีเหลี่ยมมุม คิ้วจึงต้องโค้งเรียวให้ดูอ่อนช้อยขึ้น เพื่อให้คิ้วได้รูปสวย กันตรงช่วงล่างของคิ้วและหัวคิ้วเหนือดั้งจมูก
หน้ายาว
อำพรางให้ใบหน้าสั้นลงได้ ด้วยรูปคิ้วที่ค่อนข้างตรงและหนา โดยใช้ดินสอเขียนคิ้วหรืออายแชโดว์สีน้ำตาล แต่งคิ้วให้ดูหนาและชัดเจนขึ้น และใช้แปรงตกแต่งให้เข้ารูป
หน้ากลม
แต่งคิ้วให้โก่งขึ้น และมีมุมที่ช่วงก่อนถึงหางคิ้ว เลือกสีดินสอที่ใกล้เคียงกับสีผมเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ

เมคอัพเบส ARTY Professional Complexion ตัวช่วยเพื่อผิวสวยสดใส


เครียดๆ ช่วงนี้ทิชชี่มีแต่เรื่องเครียดๆ เข้ามารุมเร้า ไหนจะเครียดเรื่องชีวิตแล้ว ยังเครียดเรื่องภัยธรรมชาติ จากการเกิดคลื่นสึนามิถล่มในญี่ปุ่นอีก.....ยิ่งพูดยิ่งเศร้า ยิ่งพูดยิ่งหดหู่ ไม่รู้ว่าญาติของทิชชี่ ไม่ว่าจะเป็น ฮิเดะ ทาเคชิ ฮาโตริ หรือทักกี้ จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง พูดแล้วเซ็งจิต เศร้าใจซะจริงๆ T^T

และความเครียดในตอนนี้ที่ทิชชี่อยากจะสลัดออกไปให้พ้นๆ ใดยเร็วที่สุดเลยก็คือ ริ้วรอยความหมองคล้ำ ไม่สดใส ดูละอ่อนเหมือนแต่ก่อนของทิชชี่เองค่ะ ทำไงได้ล่ะค่ะ อายุเริ่มเข้าเลข 2 แล้ว จะมาหน้านวลเด้งดึ๋งดั๋งเหมือนก่อนได้อย่างไร

แต่เหนือสิ่งอื่นใด อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข หนังหน้าจะไม่สู้ดีอย่างไร ทิชชี่ก็มีทางออกดีๆ เพื่อไปสู่ใบหน้าที่สดใสเหมือนเคยมาแนะนำค่ะ

นางเอกของทิชชี่ในวันนี้ ก็คือ..... อาร์ทตี้ โปรเฟสชั่นแนล คอมเพล็กซ์ชั่น โมดิฟายเออร์ เรียกแบบง่ายๆ สั้นๆ ว่า เมคอัพเบส หรือเบสปรับสภาพสีผิวค่ะ การปรับสีผิวเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญสำหรับการแต่งหน้า เพราะการมีพื้นฐานผิวที่ดีจะช่วยให้การแต่งหน้าออกมาสวยยิ่งขึ้นนะค่ะ (คุณสาวๆ ไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้ไป)

อาร์ทตี้ โปรเฟสชั่นแนล คอมเพล็กซ์ชั่น โมดิฟายเออร์ มีคุณสมบัติเด่นคือ ปรับสีผิวให้มีความกระจ่างใส สร้างความมั่นใจตลอดวันแม้ในวันที่แต่งหน้าอ่อน เป็นเมคอัพเบสเนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ติดทนนาน ปรับสภาพผิวก่อนการแต่งหน้าพิเศษด้วยแคปซูลทรงกลมในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ใสที่ เปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อครีมบางเบาเกลี่ยง่าย ช่วยปรับสภาพสีผิวให้กลมกลืน นวลเนียน เปล่งปลั่ง ปกปิดอำพลางริ้วรอย ช่วยให้การแต่งหน้าติดทนนานขึ้นค่ะ

เบสปรับสภาพสีผิวผสมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อปรับผิวหน้าของแต่ละสีผิวให้สว่างใสเป็นธรรมชาติ

สีฟ้า - สำหรับผิวคล้ำ ให้สีผิวดูโดดเด่น สดใส ไม่หมองคล้ำ
สีเขียว - สำหรับผิวขาวเหลือง ให้ผิวหน้าดูสดใส อ่อนวัย
สีม่วง - สำหรับผิวขาวอมชมพู ช่วยปรับให้ผิวขาวระเรื่อ แลดูมีสุขภาพดี
สีส้ม - สำหรับผิวสองสี หรือผิวสีแทนให้ใบหน้าสว่างสดใสและเรียบเนียน
สีเหลือง - สำหรับผิวสีแทน ช่วยให้ผิวเรียบเนียน สม่ำเสมอ

ราคาเบาๆ : 1,350 บาท

สีที่ทิชชี่นำมาทดลองบนใบหน้านางแบบในวันนี้คือ อาร์ทตี้ โปรเฟสชั่นแนล คอมเพล็กซ์ชั่น โมดิฟายเออร์ "สีเขียว"

ได้เวลาเปลี่ยนผิวหมองคล้ำให้ดู เรียบเนียน เปล่งปลั่งแล้วค่ะ

ก่อนการทาเมคอัพเบส (อาร์ทตี้ โปรเฟสชั่นแนล คอมเพล็กซ์ชั่น โมดิฟายเออร์) ควรทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อปรับสมดุลผิว แล้วจึงทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ทั่วใบหน้า จากนั้นจึงแต้ม อาร์ทตี้ โปรเฟสชั่นแนล คอมเพล็กซ์ชั่น โมดิฟายเออร์ ลงบนใบหน้าบางๆ ค่อยๆ เกลี่ยบริเวณข้างแก้ม หน้าผาก จมูก ให้ทั่ว แล้วจึงลงมาที่ลำคอ เพื่อไม่ให้ใบหน้าดูขาวเวอร์ค่ะ

มื่อใบหน้าสวยใส เรียบเนียนแล้ว การแต่งหน้าขั้นตอนต่อไปก็จะดูง่ายขึ้นค่ะ.... เริ่มด้วยการลงอายแชโดว์ที่เปลือกตา >>ลงสีตาในโทนม่วงอ่อน เพื่อให้ดวงตาดูสดใสมีชีวิตชีวารับกับใบหน้าที่ดูเปล่งปลั่งค่ะ

นี่คือตัวช่วยทั้งหมดในวันนี้ ที่มีส่วนทำให้ใบหน้าของนางแบบดูสวยใสเปล่งปลั่ง และเรียบเนีบยนะ

ขอขอบคุณ : D.I.Y. By Thichy ผู้สนับสนุนเนื้อหา

ลดน้ำหนักอย่างไรให้ถูกวิธี


หลายคน คงประสบปัญหาลดน้ำหนักหลายวิธีก็ไม่ลงสักที ถ้าอยากลดน้ำหนักให้ถูกวิธี ตามหลักการแพทย์ โดยไม่จำเป็นต้องทานยาลดความอ้วน อดอาหาร หรือออกกำลังเกินความ จำเป็น วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกวิธีมีดังต่อไปนี้ คือ

1. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ และไม่ควรกินจุกจิก การกินอาหารครบ 3 มื้อจะช่วยรักษาระดับการเผาผลาญพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เราไม่รู้สึกหิวบ่อย

2.กิน อาหารให้ได้พลังงาน 1000-1200 กิโลแคลอรี เพื่อไม่ให้ระดับการเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดต่ำลง ถ้าต่ำกว่านี้จะทำให้ร่างกายทำงานน้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโยโย่ได้

3. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้หิวง่าย แล้วจะทำให้น้ำหนักลดลงยาก

4.กิน อาหารประเภทโปรตีนให้เพียงพอ ควรกินอย่างน้อย 1 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพื่อจะทำให้น้ำหนักที่ลดลงเป็นไขมันไม่ใช่กล้ามเนื้อ

5.ในอาหารเพื่อให้ได้สัดส่วนพลังงานที่เหมาะสมควรจะเป็น โปรตีน 30 คาร์โบไฮเดรต 50 และ ไขมัน 20

6.กินผักผลไม้ที่หลากหลาย อย่างน้อยมื้อละ 1 ถ้วย ซึ่งปริมาณที่ได้รับทั้งวันอยู่ที่ 1000-1200 กิโลแคลอรี

7.ควร ดื่มน้ำวันล่ะ 2 ลิตรขึ้นไป เพื่อช่วยการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน อีกทั้งช่วยให้การขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8.ควรออกกำลังการ อย่างน้อยวันล่ะ 3-6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาระดับการเผาผลาญให้คงที่

9.ควรนอนวันละ 8 ชั่วโมง หากนอนน้อยเกินร่างกายจะผิดเพี้ยนแล้วทำให้อ้วนขึ้นได้

10.หลัง จากทำแล้วน้ำหนักลดลง ควรควบคุมต่ออีก 3 เดือน เพื่อที่ร่างกายสามารถจดจำน้ำหนักที่ลดได้จะได้ไม่มีการปรับตัวให้น้ำหนัก เพิ่มขึ้น

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร


ฉันมีสิวขึ้นรอบริมฝีปากอยู่เรื่อยเลย เป็นเพราะอะไรกันแน่ และมีวิธีไหนที่จะจัดการกับมันได้บ้าง?

A : สิ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ ลิปกลอสของคุณอาจเป็นต้นตอของปัญหาสิวรอบปาก เนื่องจากมันสามารถอุดตันรูขุมขนบนผิวรอบริมฝีปากได้ พยายามใช้ลิปกลอสสีอ่อนใส เนื่องจากมีเม็ดสีน้อยกว่า จึงมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขนน้อยกว่าด้วย และลองมองหาแบบที่มีส่วนผสมหลักที่ระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า อย่างเช่นแพนธีนอลหรือน้ำมันมะกอก แต่ถ้าการเปลี่ยนลิปกลอสไม่ช่วยให้ดีขึ้น สาเหตุอาจมาจากอย่างอื่น อย่างเช่นการใช้โทรศัพท์ที่สกปรก หรือน้ำมันจากอาหารมันๆ ที่ตกค้างอยู่รอบริมฝีปาก พยายามหลีกเลี่ยงต้นเหตุดังกล่าว และขจัดสิวด้วยการทาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกรอบๆ ขอบปาก ทุกครั้งที่ล้างหน้า

เก็บเครื่องสำอางอย่างไรดี ให้ใช้ได้นาน


การเก็บที่ดีไม่ควรเก็บในที่ที่มีอุณหภูมิสูง หรือถูกแสงแดดโดยตรง เช่น ในรถ เพราะอุณหภูมิบ้านเราอาจสูงถึง 40 องศา ได้ในตอนกลางวัน ทุกวันนี้ทุกคนเจอปัญหารถติด ต้องรีบออกจากบ้านในตอนเช้า ทำให้ต้องทานอาหารเช้าและแต่งตัวในรถ สุภาพสตรีบางท่านก็แต่งหน้าในรถก็เลยอาจเก็บเครื่องสำอางไว้ในรถด้วย และหากจอดรถกลางแจ้ง นอกจากจะมีความร้อนแล้วยังมีแสงแดดที่สามารถเร่งการเสียของเครื่องสำอางได้ หากท่านใดเคยเก็บเครื่องสำอางในรถก็จะเจอปัญหาว่าลิปสติกโค้งงอ หรือหลอม เสียรูปไป ครีมที่เก็บไว้อาจแยกชั้นก่อนวันหมดอายุ หรือก่อนที่เราจะใช้หมด หากครีมมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติก็อาจจะเสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อโดน ความร้อน แต่เรามองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น หากเก็บน้ำหอมไว้ในรถนานๆ น้ำหอมบางส่วนอาจระเหยเพราะความร้อน สีอาจจะเปลี่ยนเมื่อโดนแสงแดด และกลิ่นก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย

ดังนั้นควรเก็บรักษาเครื่องสำอางภายใต้สภาวะที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้บนฉลากอย่างเคร่งครัด
หากไม่มีการระบุวิธีเก็บเครื่องสำอางไว้บนฉลากก็ควรเก็บเครื่องสำอางไว้ใน ที่เย็น แห้ง และแสงแดดส่องไม่ ถึงผู้บริโภคมักจะเข้าใจว่าการเก็บเครื่องสำอางไว้ในตู้เย็นจะทำให้เครื่อง สำอางมีความคงตัวที่ดีและสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้น ทำให้เมื่อมีการลดราคาเครื่องสำอางหรือมีโอกาสไปต่างประเทศ ก็ไปซื้อเครื่องสำอาง มากักตุนไว้ทีละมากๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม

การเก็บเครื่องสำอางไว้ในตู้เย็นซึ่ง มีอุณหภูมิต่ำอาจทำให้การเสื่อมสลายทางเคมีหรือการเจริญเติบโตของเชื้อ จุลินทรีย์เป็นไปได้ช้าลง แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องสำอาง ที่เก็บในตู้เย็นจะไม่มีโอกาสเสียเลย นอกจากนี้การเก็บเครื่องสำอางบางชนิดไว้ในตู้เย็นอาจทำให้ เครื่องสำอางไม่คงตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่นเครื่องสำอางบางประเภทอาจจะขุ่นหรือตกตะกอนได้ง่ายหากเก็บไว้ในที่เย็น

ครีมที่ซื้อมาจากต่างประเทศ เก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้านเป็นเวลานานแล้ว ก็ยังดูดีอยู่ ไมมี่เชื้อราขึ้น ไมมี่กลิ่นเหม็น หืน จะยังคงใช้ครีมนั้นต่อไปได้หรือไม่

ควรดูว่าครีมนั้นว่าหมดอายุแล้วหรือไม่
โดยดูจากวันผลิต หรือวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลาก หากหมดอายุหรือมีอายุเกิน 2 ปีครึ่งแล้วก็ควรทิ้งไป เพราะสารบางอย่างในครีมอาจเสียไป แล้ว หากนำไปใช้ อาจเกิดอาการระคายเคืองเนื่องจากสารนั้น ซึ่งอาจจะทำให้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากกว่าค่าครีมที่จะทิ้ง ไปเสียอีก หรือหากต้องการลองเสี่ยงใช้ดูก็อาจทำได้แต่ต้องทดสอบดูก่อนว่าจะเกิดอาการ แพ้หรือไม่ หรือ ถึงแม้จะไม่เกิดอาการแพ้ สารสำคัญก็อาจเสื่อมสลายไปแล้วบางส่วน หากยังคงใช้ต่อไปก็จะไม่ได้ประโยชน์ ตามที่ต้องการ

การเผาผลาญแคลอรี่ แบบเร่งด่วน


เรื่องของการลดไขมันและการลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายของเราแล้ว การเผาผลาญแคลอรี่ ยังมีส่วนช่วยให้สุขภาพดีปราศจากโรคอ้วนอีกด้วยค่ะ ฉะนั้นแล้วไม่ว่าคุณจะมีกรรมพันธ์ที่ทำให้ การเผาผลาญแคลอรี่ ช้าก็ตามทีเถอะค่ะ

วิธีต่อไปนี้จะช่วยในเรื่องการเผาผลาญแคลอรี่อย่างรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพ ได้อีกด้วยค่ะ ฉะนั้นแล้วใครอยากมีหุ่นดี น้ำหนักลด ผอมเพรียว หรืออยากลดความอ้วนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ก็มาทางนี้เลย งานศึกษาวิจัยชิ้นใหม่ ๆ ชี้ว่าคุณสามารถหลอกล่อร่างกายให้เผาผลาญแคลอรีได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ขึ้นด้วยวิธีเหล่านี้

กินโอเมก้า -3

ทำไมการกินอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า -3 จึงช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้? โอเมก้า -3 ช่วยให้น้ำตาลในเลือดสมดุลและลดอาการอักเสบซึ่งช่วยการทำงานของระบบเผาผลาญ มันยังอาจช่วยลดการดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน ที่นักวิจัยพบว่ามันสัมพันธ์กับความเร็วในการเผาผลาญไขมัน

การศึกษาวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Obesity Research พบว่า หนูที่ได้รับน้ำมันปลาในจำนวนมากพร้อมกับการออกกำลังสามารถลดน้ำหนักได้ ในการกินกรดไขมันโอเมก้า -3 เป็นอาหารเสริมผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กินวันละ 1,000-2,000 มิลลิกรัม ถ้าไม่ชอบน้ำมันปลาลองกินน้ำมันจากเมล็ดแฟล็กซ์หรือวอลนัตก็ได้


- หันไปหาชาเขียว

ชาเขียวมีชื่อนานแล้วในเรื่องของสารโพลีฟีนอลที่เป็นแอนตี้ออกซิ แดนต์ แต่หลักฐานใหม่เผยว่าสารประกอบที่ชื่อคาเตชิน (Catechin) อาจทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น นักวิจัยได้ศึกษาหลายครั้งในกลุ่มผู้ที่ลดน้ำหนักและพบว่าคนที่ดื่มชาเขียว ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม

โดยคาเตชินอาจทำให้การออกซิเดชั่นไขมันดีขึ้น แต่คุณจะดื่มเท่าไหร่ดีล่ะ? การศึกษาชิ้นหนึ่งชี้ว่าถ้าคุณดื่มชาเขียวห้าถ้วย (ถ้วยขนาด 8 ออนซ์) คุณจะสามารถเพิ่มการใช้พลังงานได้ราว 90 แคลอรีต่อวัน


- ลดไขมันทรานส์

คุณคงเคยได้ยินมาแล้วว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพแต่ไขมันทรานส์ยังทำ ให้ความสามารถ ของร่างกายในการเผาผลาญไขมันลดลงด้วย เพราะมันทำให้ระบบชีวเคมีในร่างกายของคุณเพี้ยนไป

โดยไขมันทรานส์จะจับตัวกับไขมันและเซลล์ตับและทำให้การเผาผลาญช้าลง การกินไขมันทรานส์ยังนำไปสู่การดื้ออินซูลินและอาการอักเสบทั้งสองอย่างมีผล ต่อระบบเผาผลาญและอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้


- เลือกออร์แกนิก

ถ้าคุณกำลังชั่งใจว่าจะซื้ออาหารออร์แกนิกดีหรือเปล่าข่าวนี้อาจ ทำให้คุณ ตัดสินใจได้ ผลไม้ ผัก และธัญพืชที่ปลูกโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงทำให้ระบบเผาผลาญไขมันคุณเดินเครื่องแบบ เต็มสตรีม

เพราะมันไม่ทำให้ธัยรอยด์ของคุณต้องเจอกับสารพิษแต่ผลิตผลที่ไม่ได้เป็น ออร์ แกนิกจะบล็อกระบบเผาผลาญของคุณ โดยไปรบกวนการทำงานของธัยรอยด์ซึ่งเป็นเหมือนเทอร์โมสตัตของร่างกาย ที่กำหนดว่ามันจะเดินเครื่องเร็วแค่ไหน


- คิดถึงโปรตีน

ร่างกายคุณย่อยโปรตีนช้ากว่าไขมันและคาร์โบไฮเดรตคุณจึงรู้สึก อิ่มนานกว่า นอกจากนี้ มันยังช่วยเร่งระบบเผาผลาญด้วยในกระบวนการที่เรียกว่า Thermogenesis ร่างกายของคุณสามารถใช้ราว 10% ของแคลอรีที่กินเข้าไปสำหรับการย่อย

ฉะนั้นเพราะมันใช้เวลานานกว่าในการเผาผลาญโปรตีน ร่างกายของคุณจึงใช้พลังงานมากกว่าในการดูดซึมอาหารที่มีโปรตีนสูง โบนัส อีกอย่างก็คือ งานศึกษาชิ้นหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ของมหาวิทยาลัยเพอร์ดิวพบว่า อาหารที่มีโปรตีนสูงอาจช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อของร่างกายที่เป็นตัวเผาผลาญ ไขมันที่ดีที่สุด

เลือกน้ำหอมให้เหมาะกับสภาพผิว

เนื่องจากสภาพผิวของแต่ละคนจะตอบสนองต่อกลิ่นน้ำหอมแตกต่างกัน ฉะนั้น คุณจึงควรเลือกน้ำหอมให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณจริงๆ และนี่เคล็ดลับที่คุณควรรู้เอาไว้

* ผิวแห้ง พร้อมจะดูดซับกลิ่นหอมเอาไว้ จึงทำให้กลิ่นน้ำหอมจืดจางลงได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้น ถ้าผิวเนื้อของคุณมักจะแห้งได้ง่าย ก็เติมความชุ่มชื้นลงไปด้วยการใช้โลชั่นทาตัวแบบไม่มีกลิ่นหอม แล้วใช้น้ำหอมกลิ่นที่คุณชอบในแบบที่มีความเข้มข้นมากกว่าปกติ ซึ่งมักจะอยู่ในรูป Parfum ส่วนชนิดที่มีความหอมในระดับรองๆ ลงมาก็ได้แก่ Eau de Parfum และ Eau de Toilette คุณควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมชนิดที่เป็น Cologne หรือ Body Mist เพราะเป็นน้ำหอมที่มีระดับความเข้มข้นน้อยที่สุด

* ผิวมัน มักจะทำให้กลิ่นหอมแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นที่ฉุน ขึ้นได้ ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนผิวมัน ก็ควรเลือกใช้น้ำหอมชนิดที่มีกลิ่นอ่อนโยนหรือเบาบางกว่าอย่าง Eau de Toilette หรือ Cologne

* ถ้าคุณเป็นคนที่มีเหงื่อออกได้ง่าย น้ำหอมบางชนิดอาจทำให้ผิวของ คุณรู้สึกแสบร้อนได้ เนื่องจากรูขุมขนจะเปิดให้เหงื่อไหลออกมา และเมื่อแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในน้ำหอมส่วนใหญ่ซึมซาบลงไปในผิว ก็จะทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองขึ้นได้ ฉะนั้น น้ำหอมแบบที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือแบบที่เป็น Body Mist จึงนับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับคุณ

ฟังเพลงช่วยทำให้ผอมได้


ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร...แต่คุณสาวๆ เชื่อเถอะค่ะ ว่าการฟังเพลงช่วยทำให้ผอมได้จริง!

แน่นอนว่า การออกกำลังกายที่เพียงพอจะช่วยในการลดน้ำหนัก แต่จากผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมหาวิทยาลัยแฟร์ลีห์ ดิกกินสัน ในเมืองทีเน็ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐฯ พบว่า คนอ้วนที่ลดน้ำหนักด้วยการเดินอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ภายในระยะเวลาหกเดือน จะสามารถลดน้ำหนักลงได้ราว 4 กก. และลดไขมันในร่างกายลงได้ราว 2 เปอร์เซ็นต์

แต่ถ้าหากเดินไปด้วยฟังเพลง ไปด้วย ผลนี้จะเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว โดยสามารถลดน้ำหนักลงได้โดยเฉลี่ยถึง 8 กก. และไขมันในร่างกาย 4 เปอร์เซ็นต์ อาจเป็นเพราะกลุ่มหลังจะอินกับการออกกำลังกายได้ง่ายกว่า และนานกว่า

"การออกกำลังกายกับเพลงที่ชอบ ทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการออกกำลังกายได้" หัวหน้าทีมวิจัย บอกเช่นนั้น

เซ็ตผมอย่างไรให้โดนใจเมื่อฤดูร้อนมาถึง


เมื่อฤดูร้อนมาถึงสาวๆ หลายคนคงกำลังวุ่นวายกัยการเซ็ตผมที่ไม่ค่อยจะได้ดั่งใจ วันนี้เราจึงมีวิธีเซ็ตผมของแต่ละทรงในฤดูร้อนมาฝากกันค่ะ

- ผมตรงประบ่า

หากคุณเป็นอีกหนึ่งสาวที่ชอบไว้ผมตรงประบ่าคงต้องระวังมากเรื่อง ของผมแห้ง แตกปลาย ไร้น้ำหนัก เพราะเกล็ดผมถูกซอยออกไปมากกว่าทรงอื่น ๆ หากอยากให้ทรงผมสุดโปรดมีวอลลุ่ม นุ่มสลวยสวยงามทำได้ง่าย ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการสระผมด้วยแชมพูที่มีคุณสมบัติบำรุงเส้นผมตั้งแต่โคนจรด ปลาย แล้วตามด้วยครีมนวดผมทุกครั้งปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติแล้วค่อยจัดทรง ตามที่ต้องการ

การไดร์ผมด้วยระดับความร้อนสูง ๆ หลังสระผมเสร็จนั้นจะทำให้ผมแตกปลายได้ การปล่อยให้เส้นผมและหนังศีรษะแห้งสนิทตามธรรมชาติอาจจะช้าหน่อยแต่ก็ถือว่า คุ้มกับผมแลดูมีสุขภาพดี


- ผมตรงยาว

เข้าใจค่ะว่ากว่าคุณจะได้ผมยาวสลวยไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ฤดูที่สาวผมยาวไม่ชอบเอามาก ๆ กำลังจะมาถึง สิ่งที่กำลังกลัวนั้นไม่ใช่เรื่องดูแลเส้นผมแต่เป็นเรื่องอาการคันหนังศีรษะ รุนแรงถึงเป็นแผลเรื้อรัง

เพราะเกิดการหมักหมมจากอากาศที่อบอ้าว ลองรวบผมตึงกลับขึ้นไปคล้ายทรงโมฮอว์กติดกิ๊บเก๋ ๆ เพิ่มลุคส์สาวไฮโซได้ใช่เล่น หลังปล่อยผมอาจจะต้องใช้แชมพูประเภทเคลียร์ไฟริ่งลดผมยุ่งเหยิงพันกัน ผมสปริงตัวได้ทันที พลิ้วไหวมีน้ำหนัก


- ผมสั้น

แน่นอนอยู่แล้วอบอ้าวเยี่ยงนี้ผมสั้นนำเทรนด์สุด ๆ นอกจากจะไม่เอาท์แล้วคุณยังกลายเป็นสาวมั่นแบบไม่รู้ตัวอีกต่างหาก ผมสั้นดูแลไม่ยากก็จริงแต่ใช่ว่าไม่ต้องดูแลเลยซะที่ไหนแค่มีเจลจัดแต่งทรง ผมที่เหมาะกับสภาพผมของคุณก็เพียงพอแล้ว

เพราะเนื้อเจลจะทำให้ผมสั้นของคุณอยู่ทรงดูมีชีวิตชีวาไม่แข็งกระด้างตลอด ทั้งวัน แต่มีข้อควรระวังอยู่อย่างหนึ่งคือต้องใช้ในปริมาณที่พอดี ถ้ามากไปผมจะมันเงาเกินงามหรือน้อยไปอาจจะไม่เป็นทรงเอาซะเลย


ขอบคุณข้อมูลจาก Health Plus

เคล็ดลับพวงแก้มชมพูแบบธรรมชาติ


การมีสุขภาพที่ดีนั้น เป็นลาภที่ดีที่สุดสำหรับสาวๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ คนเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะสาวๆ ที่หากมีผิวพรรณดี สุขภาพดี ปากแดงด้วยธรรมชาติ แก้มชมพูแบบธรรมชาติ เลือดฝาดสาวแบบไม่ต้องแต้มแต่ง จะดีแค่ไหน วันนี้ขอนำ เคล็ดลับสุขภาพดี ที่จะทำให้คุณมีพวงแก้มชมพูสุขภาพดี แบบไม่ต้องมีตัวช่วยมาฝากกันนิดหน่อย

เคล็ดลับสุขภาพดี

1. ดื่มน้ำให้มาก ๆ ทำให้ผิวคุณดูมีน้ำมีนวลนะ
2. ออกกำลังกาย สุขภาพผิวดีต้องออกมาจากข้างในค่ะ
3. ทานผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนให้มาก ๆ เพราะจะช่วยซ่อมแซมผิวค่ะ
4. ล้างเครื่องสำอาง ให้สะอาดก่อนนอน ให้ผิวให้หายใจสะดวก ๆ หน่อย อย่าให้อะไรมาอุดตันรูขุมขนเลยค่ะ
5. หยิกแก้มเบา ๆ บ้าง นวดกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
6. ให้ความชุ่มชื้นกับผิว ก่อนนอนด้วยครีมบำรุงเล็กน้อย
7. อย่าแต่งหน้าทุกวัน ถ้าวันไหนอยู่บ้านก็ปล่อยให้ผิวได้หายใจกันบ้างนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก beautyfullallday.com

เคล็ดลับดัดผมแบบธรรมชาติ


วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ มาบอกคุณผู้หญิงที่ชอบดัดค่ะ เรามีวิธีดัดผมธรรมชาติโดยไม่ต้องเพิ่ง น้ำยาดัดผมหรือที่ม้วนผมไฟฟ้าให้ยุ่งยากอีกต่อไป ด้วยเคล็ดลับ "ดัดผมธรรมชาติ" นี้จะช่วยให้คุณผู้หญิงนั้น ดัดผมธรรมชาติ ได้รวดเร็วและสะดวกมากแถมง่ายมาก ๆ อีกด้วยค่ะ เชื่อว่าคุณได้ฟังเคล็ดลับนี้แล้วต้องทำได้แน่นอน ๆ เลย ถ้าอย่างไรก็ลองไปทำกันดูทำออกมาเป็นแบบใดสวยเลิศขนาดไหนเล่าให้เราฟังกัน บ้างนะคะ
วิธี "ดัดผมธรรมชาติ"

ลอนผมสวย ๆ ไม่ใช่ได้มาจากคีมดัดผมไฟฟ้าหรือน้ำยาดัดผมเท่านั้น ยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณมีลอนผมสวยได้นั่นก็คือ หลังสระผมแล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้งฉีดสเปรย์ที่มีแรงยึดเกาะเต็มที่ลงไป แบ่งผมเป็น 10 ส่วนเท่า ๆ กัน บิดผม แต่ละส่วนจากโคนถึงปลายเป็นมวยเล็ก ๆ ใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งซักสองสามนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าเส้นผมของคุณจะไม่เปียก แฉะไปตลอดคืนแล้วเข้านอนทั้ง ๆ ที่มัดมวยไว้อย่างนั้น

พอตื่นนอนในตอนเช้าก็ใช้ไดร์เป่าอีกเล็กน้อยก่อนแกะมวยผมนั้นออก ลอนผมอาจจะดูแน่นสักหน่อยในตอนแรก แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงลอนผมก็จะยืดออกจนดูสวยเป็นธรรมชาติแล้วแต่งลอน ผมให้เข้ารูปเข้าทรงโดยใช้นิ้วมือสาง


วิธีเติมขนตาให้ดกดำ แบบไม่ต้องพึ่งขนตาปลอม


ถ้าคุณอยากให้ขนตาดูตกดำ แต่ไม่ชอบวิธีติดขนตาปลอมละก็ ผู้เชี่ยวชาญมีคำแนะนำมาฝากกันค่ะ

ให้วาดขอบตาด้วยดินสอเขียนตาสีดำหรือเทาเข้ม จากนั้น ใช้ผลิตภัณฑ์เติมความอวบอิ่มให้เส้นขนตา แล้วตามด้วยการปัดมาสคาร่าโดยใช้มาสคาร่าระบบสั่น ซึ่งจะช่วยทำให้ขนตาดูดกหนาขึ้นได้

การแต่งหน้าสไตส์ Natural looks


เทคนิคง่ายๆ ของการแต่งหน้าให้ดูสวยใสเป็นธรรมชาติที่สามารถแต่งเองได้เพียงเวลาไม่กี่นาที

1.เพิ่มความสดใสให้ผิวเปล่งประกายด้วย Sparkling Primer

2.ลงรองพื้น Ultimate Expert Foundation SPF15 เพื่อทำให้ผิวดูเนียบเรียบอย่างสม่ำเสมอโดยเกลี่ยรองพื้นไปบังบริเวณกรอบหน้า (ควรเลือกสีรองพื้นที่ใหล้เคียงกับสีผิวมากที่สุด)

3.เพิ่มความสว่างบริเวณใต้ตาด้วย Highlight Concealer โดยการใช้วิธีกดเบาๆ ด้วยฟองน้ำหรือนิ้วมือ

4.เพิ่มความสดใสให้พวงแก้มด้วย Cream Color Base สีแดง สีชมพู หรือสีส้ม

5.ทาแป้งฝุ่นทั่วใบหน้า แล้วใช้แปรงปัดเศษแป้งฝุ่นที่เหลือทิ้ง

6.แต่งตาด้วยสี Eye Shadow สีครีม สีน้ำตาลอ่อน และสีน้ำตาลเข้ม

7.เขียนขอบตาล่างด้วย Arty Eyeliner Pencil สีน้ำตาลบริเวณหางตา

8.เพื่อให้ดวงตาดูกลมโตเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นเพิ่มความชัดของดวงตาด้วย Liquid Eyeliner

9.ดัดขนตาเบาๆ โดยย้ำบริเวณโคนขนตา และปัดมาสคาร่าอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มความหนาให้ขนตาให้เด่นชัดดูเป็นธรรมชาติ

10.เขียนคิ้วด้วย Eyebrows Palette โดยเขียนหัวคิ้วด้วยสีอ่อนและหางคิ้วด้วยสีเข้ม

11.เพิ่มความคมชัดของสันจมูกด้วย Highlight Shading

12.ทาลิปสติกสีธรรมชาติและเพิ่มความวาวของลิปด้วย Lip Gloss

เผยผิวหน้าใสไร้สิวเสี้ยน ด้วยไข่ขาวกับมะนาว


สิวเสี้ยน เป็นเหมือนขยะหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งยังตกค้างอยู่ในรูขุมขน มักเกาะกลุ่มอยู่ตรงส่วนที่มีความมันเช่นหน้าผาก จมูก และคาง เรามีวิธีง่าย ๆ ในการกำจัดสิวเสี้ยนที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน ด้วยวัตถุดิบพื้นฐานง่าย ๆ จากในครัวอย่างไข่ขาวและมะนาวมาฝาก

อุปกรณ์และส่วนผสม

- โฟมสครับผิว
- ไข่ขาว
- มะนาว
- กระดาษเช็ดปาก

Step 1
ใช้ โฟมหรือสบู่เหลวล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด จากนั้น ใช้โฟมสครับผิวขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนอีกที ขัดผิววนเป็นวงกลม แล้วล้างออกให้สะอาด

Step 2
เท น้ำร้อนจัดลงในหม้อหรือชามใบใหญ่ หรืออาจเปิดน้ำร้อนในอ่างล้างหน้า ก้มหน้าลงเพื่อให้ไอน้ำร้อนช่วยเปิดรูขุมขน เพื่อให้การมาส์กได้ผลดียิ่งขึ้น

Step 3
ผสมน้ำมะนาว 1/4 ถ้วย กับไข่ขาวล้วน 2 ฟองในชาม ผสมให้เข้ากัน

Step 4
ทาส่วนผสมลงบาง ๆ บนใบหน้า เน้นส่วนที่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยนมากเป็นพิเศษ

Step 5
ตัด แบ่งกระดาษเช็ดปากเป็นสี่เหลี่ยมทั้งหมด 5 ชิ้น แล้วแปะลงบนหน้าผาก จมูก คาง และแก้มทั้งสองข้าง กระดาษเช็ดปากจะติดแน่นบนผิวหน้า ปล่อยทิ้งไว้จนกระดาษเริ่มแข็งตึง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

Step 6
ค่อย ๆ ลอกกระดาษเช็ดปากออก จะเห็นว่ามีสิวเสี้ยนติดออกมาด้วย จากนั้น ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัดเพื่อปิดรูขุมขนค่ะ


Tips

มะนาว มีกรดอัลฟาไฮดร็อกไซด์ที่มีสารขัดผิวตามธรรมชาติและรักษาสิว สามารถจัดการกับสิวเสี้ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนไข่ขาวนั้น มีส่วนช่วยตรึงอิลาสตินในผิว ทำให้รูขุมขนกระชับ และยังดูดซับน้ำมันส่วนเกินในผิว ที่สำคัญยังช่วยบำรุงผิวที่เริ่มมีริ้วรอยได้อีกด้วย

สีปัสสาวะบอกโรค


สีปัสสาวะบอกโรค

ปฏิกิริยา หรืออาการต่างๆ ที่ร่างกายแสดงออก เป็นเสมือนสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ร่างกายกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งผิดปกติอะไรสักอย่าง ฉะนั้นการสังเกตตัวเองอยู่เสมอก็เป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่พึงกระทำ เพราะหากพบความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็จะได้รับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อะไรที่จะหนักก็จะได้บรรเทาเบาบางลง

สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายของปกติดีอยู่หรือไม่ ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม…เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู

ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง

หากปัสสาวะออก มาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับ ประทานอาหารอะไรที่เป็นสีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้น อาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล

มอง ได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง

ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อน เป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้

ปัสสาวะมีสีขุ่น

ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม

อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน

ถ้าปัสสาวะมี สีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

เข้า ห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกายปัสสาวะ เป็นสิ่งที่ขับถ่ายออกมาจากร่างกาย โดยไตจะกรองเอาของเสียและสิ่งที่มากเกินพอออกจากเลือด และขับออกมาเป็นปัสสาวะ ถ้าไตไม่ทำงาน จะมีของเสียคั่งในเลือด ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก หอบเหนื่อย บวม เป็นต้น

ปัสสาวะเป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอกโรคได้หลายชนิด เช่น
โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะ ปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
การสังเกตปัสสาวะของตนเอง โดยดูจาก จำนวน สี ความขุ่น และกลิ่นของปัสสาวะ ก็จะทำให้ทราบถึงความผิดปกติหลาย ๆ อย่างของร่างกายได้เช่น


จำนวนของปัสสาวะ
คนปกติจะถ่ายปัสสาวะวันละ 3 ถึง 5 ครั้ง ควรถ่ายปัสสาวะส่วนใหญ่ในเวลากลางวัน ตั้งแต่ ตื่นนอนเช้าถึงก่อนเข้านอน ส่วนกลางคืนหลังเข้านอนแล้วไม่ควรถ่ายปัสสาวะอีกจนถึงเช้า นอกจากจะดื่มน้ำมากหรือในเด็กเล็ก หรือคิดมาก นอนไม่หลับ อาจถ่ายปัสสาวะในเวลากลางคืนได้อีก
การ ถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ อาจเป็นเพราะ ความวิตกกังวลซึ่งกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ได้เป็นโรคไต หรือโรคของทางเดินปัสสาวะก็ได้
ถ้าปัสสาวะบ่อยเป็นประจำกะปริบกะปรอย อาจเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน หรือเป็นโรคไตพิการเรื้อรัง

ปกติเด็กอายุ 1 ถึง 6 ขวบ จะถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามส่วนของหนึ่งลิตร (ประมาณ 1 แก้วครึ่ง) และไม่ควรมากกว่าหนึ่งลิตร
เด็กอายุ 6 ถึง 12 ขวบ ควรถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าครึ่งลิตรและไม่ควรเกินสองลิตร
ผู้ใหญ่ควรถ่ายปัสสาวะวันละเกือบลิตร และไม่ควรเกินสองลิตร
ถ้าถ่ายปัสสาวะน้อยไปส่วนใหญ่เกิดจาการดื่มน้ำน้อย หรือเกิดจากการเสียน้ำทางอื่นเช่น เหงื่อออกมาก ท้องเดินท้องร่วง อาเจียนมาก เป็นต้น ส่วนน้อยเกิดจากโรคไต โรคหัวใจ และอื่น ๆ
ถ้าถ่ายปัสสาวะมากไปส่วนใหญ่มักเกิดจากาการดื่มน้ำมาก หรือพบในโรคเบาหวาน เบาจืด โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคไตพิการเรื้อรังบางระยะ การกินยาขับปัสสาวะ เป็นต้น

บางครั้งพบว่าไม่มีปัสสาวะเลยหรือทั้งวันถ่ายปัสสาวะได้น้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนของลิตร (น้อยกว่า 1 ถ้วยแก้ว) ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ, โรคเป็นพิษเนื่องจากปรอท, โรคไตอักเสบอย่างรุนแรง, ภาวะช็อค (เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ) เป็นต้น
สำหรับ อาการผิดปกติในการขับปัสสาวะ เช่น ปวดท้องน้อยในขณะถ่ายปัสสาวะ แสบที่ช่องถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแล้วรู้สึกไม่สุดอยากจะถ่ายอีกทั้ง ๆที่ไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะขัด อาจมีการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

⇒ ความขุ่นของปัสสาวะ
ปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ ๆจะใส ถ้าตั้งทิ้งไว้จะขุ่นได้
เนื่องจากปัสสาวะเป็นอาหารที่ดีสำหรับแบคทีเรีย แบคทีเรียจึงเจริญเติบโตขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัสสาวะขุ่นได้
สาเหตุความขุ่นอีกอย่างหนึ่งคือแบคทีเรียจะเปลี่ยน ยูเรียในปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนีย แอมโมเนียจะทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง ด่างก็จะช่วยตกตะกอนของสารบางอย่าง เช่น พวกฟอสเฟท ยูเรท ทำให้ปัสสาวะขุ่นได้ เช่นเดียวกัน ถ้าปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ขุ่น เช่น ขุ่นและมีสีแดง ปัสสาวะอาจมีเลือดปนปัสสาวะขุ่นคล้ายนมอาจเกิดจากหนองหรือไขมัน

บาง ครั้งความขุ่นของปัสสาวะเกิดจากอาหารและยา ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกตะกอนของสารบางชนิดได้เช่นเดียวกัน เช่น ยาซัลฟา กินแล้วไม่ได้ดื่มน้ำมาก ๆ อาจจะตกตะกอนเป็นผงหรือผลึก ทำให้ปัสสาวะขุ่น ถ้าอาการปวดท้อง ปวดดื้อ จนถึงปวดรุนแรงเป็นพัก ๆ จนบิด ปัสสาวะน้อยและขุ่น จำทำให้นึกถึงโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ


⇒ กลิ่นของปัสสาวะ
ปกติปัสสาวะเมื่อถ่ายออกมาสด ๆ จะมีกลิ่นหอมกำยาน และถ้าตั้งทิ้งไว้ค้างคืน จะมีกลิ่นแอมโมเนีย
อาหารและยาทำให้กลิ่นปัสสาวะเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สะตอ สตือ ทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นฉุน

กลิ่นปัสสาวะใหม่ ๆสด ๆ บางกลิ่นสามารถเดาได้ว่าเป็นปัสสาวะของโรคอะไร เช่น
กลิ่นน้ำนมแมวมักจะพบในปัสสาวะของคนที่เป็นเบาหวานที่เป็นมากและไม่ได้รักษา
กลิ่นเหม็นเน่าเกิดจากการติดเชื้อมักจะพบปัสสาวะขุ่นเป็นหนองด้วย
กลิ่นแอมโมเนียของปัสสาวะใหม่สด แสดงถึงการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น


⇒ถ้าปัสสาวะผิดปกติจะเก็บไปตรวจทำอย่างไร
1.ก่อน ที่จะเก็บปัสสาวะ ควรจะต้องทราบเสียก่อนว่า จะเก็บเพื่อตรวจหาอะไร เช่น ต้องการดูสีควรงดอาหารและยาที่ทำให้เกิดสีก่อนสักวันสองวัน เป็นต้น

2.ก่อน ถ่ายปัสสาวะเพื่อเก็บตรวจ ควรล้างปากช่องอวัยวะที่จะถ่ายให้สะอาด หรือจะใช้สำลีชุบน้ำเช็ค ถ้าเป็นหญิงต้องเช็ดจากหน้าไปหลังเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากช่องคลอดหรือ ทวารหนัก

3.ควรเก็บปัสสาวะครั้งแรกที่ตื่นนอนเช้า ก่อนกินอาหารหรือน้ำใด ๆ เพราะมีความเข้มข้นมากที่สุด

4.ควร เก็บปัสสาวะระยะกลาง ๆ ของการถ่ายมาดู ระยะนี้ปัสสาวะออกมาจากกระเพาะปัสสาวะ ส่วนระยะเริ่มแรกถ่ายกับตอนสุดท้ายที่ขมิบ ควรจะใช้ภาชนะแยกอีกใบหนึ่งหรือสองใบรองไว้ สังเกตการขุ่น ซึ่งอาจจะปนเปื้อนมาจากช่องคลอด ไม่ได้เกิดจากความขุ่นของปัสสาวะก็ได้

5.ควรส่งตรวจทันทีเมื่อถ่ายใหม่ ๆ ภายใน 3 ชั่วโมง

มาหนีห่างจากโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะกัน

1.อย่า กลั้นปัสสาวะเมื่อเวลาปวด ถ้ากลั้นบ่อย ๆ จะทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะและถ้ากลั้นต่อไปอาจทำให้เกิดการ อักเสบถึงกรวยไตและในที่สุดถึงไตได้

2.การ กินยาที่อาจเป็นพิษต่อไต ต้องรู้วิธีแก้ไข เช่น ยาซัลฟา ถ้ากินยานี้แล้วดื่มน้ำน้อยไป จะทำให้ยานี้ตกตะกอนในไต หรือในส่วนต่าง ๆ ของทางเดินปัสสาวะได้ เมื่อจะกินยาเหล่านี้ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อละลายยาไม่ให้ตกตะกอน แต่ถ้าผู้ป่วยโรคไตที่มีปัสสาวะน้อยและห้ามดื่มน้ำมาก ก็ไม่ควรใช้ยานี้

3.หญิง ที่ใช้กระดาษเช็ดเมื่อปัสสาวะเสร็จ อย่าเช็ดช่องถ่ายปัสสาวะด้วยกระดาษที่ไม่สะอาด และต้องเช็ดจากหน้าไปหลัง มิฉะนั้นอาจจะติดเชื้อแบคทีเรียจากช่องคลอดหรือทวารหนักได้

4.อย่ากินอาหารเค็มจัดเสมอ ๆ

5.พยายามทำความสะอาดบริเวณขับถ่ายปัสสาวะอยู่เสมอ (โดยใช้น้ำสะอาดทั่วไป) ถ้าปล่อยให้สกปรกแล้ว อาจมีเชื้อโรคเข้าไปทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และอาจลุกลามไปถึงไตได้.

ล้างพิษแบบเอเชียได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง


การล้าง สารพิษในร่างกายกำลังกลายเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะทุกวันนี้คนเรารับสารพิษเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้ตัวเป็นจำนวนมาก จนบางครั้งกระบวนการขับสารพิษตามธรรมชาติของร่างกายไม่สามารถกำจัดออกมาได้ หมด วันนี้มีการล้างพิษแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองมาฝาก โดยเน้นไปที่การล้างพิษแบบธรรมชาติที่มีการใช้กันมานานด้วยศาสตร์เอเชีย


รับสารพิษเยอะเสี่ยงต่อสารตกค้าง


พญ.ศรันยา กตัญญูวงศ์ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีน ฝังเข็ม และสมุนไพรจีน จากสถาบันการแพทย์ผสมผสาน บอก ว่า เมื่อก่อนนั้นคนส่วนใหญ่จะคิดว่าการล้างสารพิษนั้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีสาร พิษหนักๆ อย่างเช่น กัมมันตภาพรังสี สารปรอท หรือตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย แต่สำหรับปัจจุบันนั้นไม่ใช่แล้ว เพราะมีหลายคนที่หันมาสนใจล้างสารพิษในร่างกายกันมากขึ้น เพื่อขจัดเอาสารพิษส่วนเกินในร่างกายออกไป เนื่องจากธรรมชาติการทำงานของร่างกายที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่สมดุลนั้นจะส่งผล ทำให้การขับสารพิษออกมาทางไตไม่ปกติ และอาจจะก่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกายได้ง่ายๆ


"เป็น ธรรมดาที่เมื่อร่างกายเราใช้งานเยอะก็ควรเอาสารพิษตกค้างในร่างกายออก เพราะปกติร่างกายคนเราจะพบเจอกับสารพิษอยู่เกือบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น โลหะหนัก สารที่ปนเปื้อนในอาหาร หรือสารพิษที่ปนเปื้อนมากับลมหายใจอย่างควันเสีย ซึ่งโดยปกติร่างกายคนเรานั้นจะสามารถกำจัดออกไปได้เอง แต่ก็มีขีดจำกัดในแต่ละวันว่ากำจัดเท่าไหน ถ้าวันไหนเรารับสารพิษเข้าร่างกายเยอะจนเกินไป ร่างกายก็กำจัดได้ไม่หมดจนเกิดเป็นสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย เพราะฉะนั้นการล้างสารพิษก็จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะกำจัดสารพิษออกไปจากร่างกาย ได้มากกว่า"


ใน 1 ปีนั้น พญ.ศรันยา บอกว่า เราควรจะมีการล้างสารพิษครั้งใหญ่สัก 1 ครั้ง โดยมีระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน ที่จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ในต่างจังหวัด หยุดรับประทานอาหารที่ทำลายสุขภาพ ทำจิตใจให้แจ่มใส หรือที่เรามักจะเรียกกันว่าออกไปชาร์ตแบต ส่วนการล้างพิษระยะสั้นๆ ประมาณ 3 วันนั้นก็ควรจะทำประมาณ 3-4 เดือน/ครั้ง โดยเราสามารถที่จะทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน


ล้างสารพิษง่ายๆ ทำได้หลายทาง


พญ.ปิยะนุช รักพาณิชย์ ผู้อำนวยการแพทย์สถาบันการแพทย์ผสมผสานให้คำแนะนำสำหรับการล้างพิษง่ายๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน ซึ่งก็มีด้วยกันหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น


อย่างแรก วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ อะไร ที่เป็นสารพิษก็อย่ารับเข้าสู่ร่างกาย แต่โดยธรรมชาตินั้นถ้ามีสารพิษไม่เยอะเกินไป และสุขภาพแข็งแรงความสมบูรณ์ร่างกายก็จะสามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้ เป็นปกติ


"สารพิษไม่ใช่เฉพาะตะกั่ว ปรอท แต่เรื่องของอาหารการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ อย่างเช่นอาหารทอดๆ มันๆ ก็เป็นสารพิษทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ควรหลีกเลี่ยง เน้นรับประทานอาหารสดใหม่ เน้นผัก ผลไม้เยอะๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอ"


วิธีที่สอง ก็คือ การล้างพิษด้วยการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ และแป้ง หันมาเลือกรับประทานผลไม้ โดยอาจจะเข้าโปรแกรมประมาณ 10 วัน


"เริ่ม ต้น 2วันแรกด้วยการรับประทานผลไม้ชนิดใดก็ได้กับน้ำเปล่าทั้งวัน อีก 2 วันต่อมาก็ดื่มน้ำผลไม้กับน้ำเปล่าทั้งวัน วันที่ 5-6 ก็ดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน วันที่ 7-8 ก็รับประทานผลไม้ และน้ำเปล่าทั้งวันอีกครั้ง ส่วน 2วันสุดท้ายก็กลับมาดื่มน้ำผลไม้ และน้ำเปล่าทั้งวันอีกรอบ และเป็นการพักระบบการย่อยอาหารไปในตัว"


แต่ วิธีนี้ พญ.ปิยะนุช บอกว่า อาจจะค่อนข้างทรมานร่างกายไปหน่อย ใครที่เพิ่งเริ่มอาจจะทำเพียงแค่ 1-2 วันด้วยการรับประทานผลไม้กับน้ำเปล่าทั้งวันก่อนก็ได้


สาม คือ การดื่มน้ำเยอะๆ วันละประมาณ1.5-2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้ขับสารพิษออกมาทางปัสสาวะได้มากขึ้น และยังช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวก และระบบการทำงานของร่างกายทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้น


สี่ คือ การขับสารพิษออกมาทางลมหายใจด้วยการฝึกการหายในเข้า-ออกลึกๆ หายใจให้ถูกวิธี ด้วยการหายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบเพื่อนำพาออกซิเจนได้ดีขึ้น และช่วยในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น


สุดท้าย คือ การขับสารพิษด้วยการออกกำลังกาย หรืออบซาวนาสมุนไพร เพื่อให้ร่างกายขับสารพิษผ่านเหงื่อและรูขุมขน


โดย มีสมุนไพรที่เป็นตัวช่วยเสริมให้การขับพิษออกง่ายขึ้น สมุนไพรที่นำมาใช้ประกอบไปด้วย ไพล ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ตะไคร้ ผิวมะกรูดพิมเสน การบูร ซึ่งแต่ละตัวจะมีสรรพคุณแผนไทยในการช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายพร้อมเหงื่อ


ญาลักษณ์ ช่างเหล็ก แพทย์แผนไทยประยุกต์ แนะ นำเพิ่มเติมว่า วิธีนี้ถ้าใครที่มีโรคประจำตัวหัวใจ หรือความดันโลหิตสูงอาจจะต้องหลีกเลี่ยง นอกจากนั้นการใช้วิธีนี้ขับสารพิษออกจากร่างกายบางคนอาจจะขับสารพิษของมาใน รูปของผื่นขึ้นตามร่างกาย ซึ่งก็อย่าตกใจเพราะสักพักผื่นจะหายไปเอง เพียงแต่ต้องดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อช่วยขับพิษได้มากขึ้น


นอก จากนั้นเรื่องอาหารการกินก็เป็นส่วนหนึ่ง อย่างเช่น การเลือกดื่มน้ำสมุนไพรที่จะช่วยในการขับสารพิษในร่างกายให้ออกมาได้ดีขึ้น คืนการทำงานที่ดีสู่อวัยวะภายใน โดยเฉพาะที่ตับและไต

รับมืออากาศเปลี่ยนด้วยวิตามินซี



อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เดี๋ยวสะบัดร้อน สะบัดหนาว บางทีก็มีฝนตกไม่เลือกฤดูให้งวยงงกันเล่น

ทำ ให้การปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับสภาวะอากาศไม่ลงตัว หลายๆ คนถึงกับไข้หวัดถามหา มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ทั้งจามทั้งไอ หัวมึนตื้อไปหมด เป็นที่น่ารำคาญใจตัวเองและคนข้างเคียง บ้างก็ต้องลางาน หยุดหลายวัน ขาดเรียนไป ทำให้มีปัญหาต่างๆ ตามมาเพราะใกล้ช่วงสอบไล่เต็มที


ภญ.กรรณิการ์ เอกศักดิ์ บริษัท เฮลธ์ อิมแพค จำกัด นำเสนอวิธีการป้องกันและรักษาสุขภาพในช่วงแห่งอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ ว่า ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดได้ ร่างกายจะเป็นผู้สร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติมาทำลายเชื้อไวรัส การรักษาจึงเป็นการแก้ไขอาการ เช่น ให้ยาลดไข้แก้ปวดเมื่อไข้สูงหรือปวดหัว และให้ยาลดน้ำมูกเมื่อคัดจมูกหรือมีน้ำมูกมาก ซึ่งยาลดน้ำมูกส่วนใหญ่มีผลทำให้ง่วงซึม มึนงง ต้องระวังในผู้ที่ขับขี่ยวดยานหรือใช้เครื่องจักร

ดังนั้น นอกจากการทานยาเพื่อลดอาการแล้ว การดูแลสุขภาพก็มีส่วนช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น เช่น อาบน้ำอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ การจิบน้ำอุ่นหรือน้ำผึ้งผสมมะนาวให้ชุ่มคอ ลดการระคายเคือง ระวังเรื่องการสั่งน้ำมูก อย่าสั่งแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อเข้าสู่โพรงไซนัสหรือหูชั้นใน เกิดการอักเสบมากขึ้น ถ้าเด็กเล็กควรใช้ลูกยางดูดน้ำมูกเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น ส่วนการรับประทานอาหาร ควรทานอาหารที่ย่อยง่ายและทานผลไม้ที่ให้วิตามินโดยเฉพาะวิตามินซีสูง เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย เช่น ส้ม มะเขือเทศ ฝรั่ง ก็สามารถช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้นได้

วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย เป็นตัวสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น ผิวหนัง กระดูก ฟัน เหงือกและเส้นเลือด ช่วยสมานและซ่อมแซมเนื้อเยื่อบาดแผลให้หายเร็วขึ้น รักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน และช่วยคลายเครียด แต่บางท่านก็ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ ดังจะสังเกตได้จากการเป็นหวัดหรือภูมิแพ้บ่อยๆ นั่นหมายความว่าภูมิต้านทานในร่างกายเราไม่สมบูรณ์พอ ผิวพรรณซูบซีด ไม่เปล่งปลั่งสดใส หรือบางท่านที่เครียดมีผลให้เป็นโรคกระเพาะ ไมเกรน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ และสาวๆ หนุ่มๆ ที่ชอบสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ไลฟ์สไตล์เหล่านี้ก็ต้องการวิตามินซีมากกว่าคนทั่วไปเหมือนกัน

สำหรับ ปริมาณวิตามินซีที่เราควรได้รับต่อวันคือ 60 มิลลิกรัม ถ้าเทียบง่ายๆ ก็คือ ทานส้มสด 1 ผลให้วิตามินซี 20 มิลลิกรัม ก็ต้องทานให้ได้ 3 ผลต่อวัน หรือทานจากผักสด ผลไม้ต่างๆ ซึ่งแต่ละชนิดก็ให้ปริมาณวิตามินซีแตกต่างกัน ผักที่ให้วิตามินซีมากหน่อย เช่น บร็อกโคลีหรือผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยว เช่น สับปะรด มะขาม ส่วนที่ให้วิตามินซีน้อย เช่น กล้วย ผักกาดกรอบ หรือหัวหอม

นอก จากการทานผักผลไม้แล้ว การทานวิตามินซีเสริมในรูปเม็ดยาเม็ดก็เป็นอีกทางเลือก ในปัจจุบันก็มีวิตามินซีเสริมในรูปแบบเจลลี่เคี้ยวสนุกอร่อยเพลิน ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้การเสริมวิตามินซีเป็นเรื่องสนุก และได้ประโยชน์ของคุณค่าวิตามินซีเต็มๆในรูปแบบ ซีโด้ เจลลี่กลีบส้ม 1 กลีบ ให้วิตามินซี 60 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับทานส้ม 3 ผลนั่นเอง